วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

7 wonders of world



7 Wonders Of The World

        เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตเซอร์แลนด์ THE NEW OPEN WORLD CORPORATION หรือ NOWC  และได้ผลสรุปที่กรุงลิสบอน  ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550










        ที่แรก คือ ชิเชน อิตซา หรือ CHICHEN ITZA
           

        ชิเชน อิตซา     เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายา ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก ชิเชนอิตซาเป็นเมืองหนึ่งที่พวกมายาสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายเลือด
    ชิเชน อิตซามีลักษณะเป็นพีระมิดเป็นชั้นที่ลดหลั่นลงมา มีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้า ชนเผ่ามายาได้เชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้เชื่อว่ามีความรู้ทางด้านภาษา คณิตศาสตร์และดาราศาสตร์อยู่มากเช่นกัน


หอดูดาว
 
สิ่งก่อสร้างต่างๆในชิเชนอิตซา
   







สถานที่ที่สอง คือ  รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือ CHRIST REDEEMER


        รูปปั้นพระเยซูคริสต์ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร โดยได้รับการออกแบบโดย เอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดย ปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ โดยใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี
    รูปปั้นพระเยซูได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนียวทางจิตใจของชาวบราซิล ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาราวปีละ 1,800,000 รายต่อปี

  
 







สถานที่ที่สาม คือ  กำแพงเมืองจีน หรือ THE GREAT WALL OF CHINA

       
        กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วงๆของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกฮันส์หรือชนเผ่าซยงหนู กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร         กำแพงเมืองจีนถูกเชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นจากนอกโลกได้ และเป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลก  กำแพงเมืองจีนยังถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย
  

     









สถานที่ที่ 4 คือ มาชูปิกชู หรือ MACHU PICCHU


        มาชู ปิกชู หรือนิยมเรียกว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในเปรู เป็นอารยธรรมที่ได้ถูกลืมเลือนไป จนกระทั่งมีนักโบราณคดีชื่อ ไฮแรม บิงแฮม มาพบเมื่อปี พ.ศ.2454
    มาชู ปิกชู คาดว่าถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1450 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคา สาเหตุที่มาชู ปิกชูถูกทิ้งร้างไว้หลายร้อยปีเพราะชาวสเปนได้เข้ามาล่าอาณานิคมและฆ่าชาวเปรูและชาวอินคา

แผนที่แแสดงที่ตั้งของมาชู ปิกชู
  

     








สถานที่ที่ 5 คือ นครเปตรา หรือ PETRA

    
    นครเปตรา เป็นนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาวาดี มูซา ซึ่งเป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน ถูกสร้างขึ้นโดยชาวบานาเทียนซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ นครแห่งนี้เดิมเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางมาพบเข้าเมื่อปปี พ.ศ.2355


ปากทางเข้านครเปตรา
         








สถานที่ที่ 6 คือ ทัชมาฮาล หรือ TAJ MAHAL

   

         เพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาลทัชมาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนที่เชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยงามที่สุดในโลก สร้างโดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ ชะฮัน แห่งจักรวรรดิโมกุล
    ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมฝั่งแม่น้ำยมนา เมืองอัครา ประเทศอินเดีย ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา และสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วนและงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง60 เมตร มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง 4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้


        








สถานที่สุดท้าย คือ โคลอสเซียม หรือ COLOSSEUM



        เป็นสนามกกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมันและเสร็จในสมัยจักรพรรดิไททัส  อัฒจันทร์ถูกออกแบบเป็นวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา สามารถบรรจุได้ 50,000 คน และมีการออกแบบให้มีทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะฝนตก  ใช้เวลาในการก่อสร้าง 10 ปี
    ภายใต้สถานที่แห่งนี้มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษและสัตว์ดุร้ายต่างๆ เช่น สิงโต โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงจะได้อิสรภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากโดนจับให้อดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย